07/01/68

|

อ่านแล้ว 710 ครั้ง

ค่าลากรถเมื่อรถเสียกลางทาง ประกันรถยนต์จ่ายไหม

    บนท้องถนนในทุกวัน ทุกการเดินทางของเราย่อมมีความเสี่ยงที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ เช่น รถเสียกลางทางหรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ไม่สามารถขับรถต่อไปได้ หากคุณเคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่มักตามมาคือการเรียกรถลากหรือรถยกเพื่อนำรถไปยังอู่ซ่อมหรือสถานที่ที่ปลอดภัย คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ "ค่าลากรถ" ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? และประกันรถยนต์ที่ทำไว้นั้นสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้หรือไม่ นอกจากนี้ เอกสารอะไรบ้างที่ต้องใช้หากต้องการเบิกค่าลากรถจากประกัน และค่าบริการรถลากในแต่ละครั้งมีราคาประมาณเท่าไหร่ วันนี้พี่หมี TQM จะช่วยไขข้อสงสัยทั้งหมด พร้อมทั้งแนะนำวิธีเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นกันครับ

เช็คเบี้ยประกันรถยนต์

ค่าลากรถคืออะไร

    ค่าลากรถ คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บริการรถลากหรือรถยกเพื่อนำรถยนต์ของคุณไปยังสถานที่ที่เหมาะสม เช่น อู่ซ่อมรถ โรงจอด หรือสถานที่ที่ปลอดภัย กรณีที่รถไม่สามารถขับเคลื่อนต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางเทคนิค เช่น เครื่องยนต์เสีย ระบบไฟฟ้าขัดข้อง ระบบเบรกมีปัญหา หรือเกิดอุบัติเหตุจนรถไม่สามารถขับต่อไปได้ การใช้บริการรถลากเป็นทางออกที่ช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว

 

ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียกรถลาก

    ราคาค่าลากรถอาจฟังดูเหมือนคำนวณได้ง่าย แต่ความจริงแล้วมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ทำให้ค่าใช้จ่ายแตกต่างกันออกไป มาดูกันว่าแต่ละปัจจัยมีผลอย่างไรบ้าง เพื่อให้คุณเข้าใจและเตรียมตัวได้ง่ายขึ้นหากต้องใช้บริการจริง

 

1. ระยะทาง

    ระยะทางเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าบริการรถลาก ยิ่งระยะทางไกลเท่าไหร่ ค่าบริการก็ยิ่งสูงขึ้น เพราะการลากรถต้องใช้พลังงานน้ำมันและเวลาของพนักงานขับรถลาก โดยทั่วไปแล้ว การลากรถในระยะทางสั้น เช่น ไม่เกิน 10 กิโลเมตร อาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 1,000 บาท แต่หากเป็นการลากรถในระยะทาง 50 กิโลเมตรขึ้นไป ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นถึง 2,000-3,000 บาท หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริษัทที่ให้บริการด้วย

 

ตัวอย่าง

  • การลากรถจากจุดพักรถบนมอเตอร์เวย์ไปยังอู่ซ่อมในตัวเมือง อาจมีราคาประมาณ 1,500 บาทสำหรับระยะทาง 30 กิโลเมตร
  • หากลากรถจากต่างจังหวัด เช่น จากเขาใหญ่ไปยังกรุงเทพฯ ที่มีระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร ราคาค่าบริการอาจพุ่งสูงถึง 4,000-5,000 บาท

 

2. ประเภทของรถ

    ประเภทของรถที่ต้องการลากก็มีผลต่อค่าบริการเช่นกัน รถยนต์ขนาดเล็ก เช่น รถเก๋งหรือรถ Eco-Car มักมีค่าบริการที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น รถกระบะหรือรถ SUV นอกจากนี้ รถยนต์หรูหรือรถที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เช่น รถซุปเปอร์คาร์ อาจมีค่าบริการสูงขึ้น เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือพิเศษและความชำนาญของพนักงานในการลากรถ

 

ตัวอย่าง

  • การลากรถเก๋งทั่วไป อาจมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 1,000 บาท
  • การลากรถกระบะหรือ SUV อาจเพิ่มค่าบริการอีก 20-30% เนื่องจากน้ำหนักและความยุ่งยากในการลาก
  • การลากรถซุปเปอร์คาร์ เช่น Ferrari หรือ Lamborghini อาจมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 5,000 บาทขึ้นไป เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางและการดูแลที่ระมัดระวัง

 

3. พื้นที่บริการ

    พื้นที่ที่ให้บริการลากรถมีผลอย่างมากต่อราคาค่าบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องการใช้บริการในเขตเมืองใหญ่หรือพื้นที่ชนบทที่อยู่ห่างไกล

 

  • ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล : ค่าบริการมักสูงกว่า เพราะมีความต้องการใช้บริการสูง และบางครั้งการจราจรหนาแน่นทำให้การลากรถใช้เวลานานขึ้น
  • ในพื้นที่ชนบทหรือห่างไกล : ค่าบริการอาจถูกกว่าในบางกรณี แต่หากพื้นที่นั้นไม่มีผู้ให้บริการใกล้เคียง อาจมีการคิดค่าบริการเพิ่มเติมสำหรับการเดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ

โทรเรียกรถลาก

ประกันรถยนต์ครอบคลุมค่าลากรถหรือไม่?

    เมื่อพูดถึงการครอบคลุมค่าลากรถ หลายคนอาจสงสัยว่าประกันรถยนต์ที่ทำไว้นั้นจะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในส่วนนี้หรือไม่ คำตอบคือ "ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันรถยนต์" ที่คุณเลือกทำไว้ เนื่องจากแต่ละประเภทของประกันมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป

 

1. ประกันรถยนต์ชั้น 1

    ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นประเภทประกันที่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุด ซึ่งรวมถึงการครอบคลุมค่าลากรถในกรณีส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการลากรถหลังจากเกิดอุบัติเหตุ หรือการลากรถเนื่องจากปัญหาทางเทคนิค เช่น เครื่องยนต์เสีย ระบบไฟฟ้ามีปัญหา หรือเบรกขัดข้อง ทำให้คุณสามารถเรียกรถลากได้ในเกือบทุกกรณีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่วงเงินหรือเงื่อนไขในการเคลมค่าลากรถอาจแตกต่างกันไปตามบริษัทประกัน เช่น บางบริษัทอาจครอบคลุมค่าลากรถโดยไม่จำกัดระยะทาง ขณะที่บางบริษัทอาจจำกัดวงเงินที่ครอบคลุม เช่น สูงสุด 2,000-5,000 บาทต่อครั้ง

 

ตัวอย่าง

สมมติว่ารถของคุณเสียกลางทางบนมอเตอร์เวย์ และต้องการลากรถไปยังอู่ในตัวเมือง ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายในการลากรถอาจอยู่ที่ 1,500 บาท ซึ่งสามารถเคลมได้เต็มจำนวน หากกรมธรรม์ของคุณระบุว่า "ครอบคลุมค่าลากรถไม่จำกัดวงเงิน"

 

2. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+

    สำหรับประกันชั้น 2+ และ 3+ ความคุ้มครองครอบคลุมค่าลากรถจะมีข้อจำกัดมากกว่าชั้น 1 โดยมักครอบคลุมเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ เช่น รถชนหรือเกิดเหตุที่ทำให้รถไม่สามารถขับต่อได้ จึงยังพอช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในกรณีอุบัติเหตุที่ต้องใช้บริการรถลาก แต่หากเป็นกรณีรถเสียจากการใช้งานทั่วไป เช่น เครื่องยนต์เสียหรือระบบไฟฟ้ามีปัญหา ประกันประเภทนี้มักจะไม่ครอบคลุม

 

ตัวอย่าง

หากรถของคุณประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยจนไม่สามารถขับต่อได้ และต้องการเรียกรถลากไปยังอู่ซ่อม ค่าใช้จ่ายอาจอยู่ที่ 2,000 บาท ประกันชั้น 2+ หรือ 3+ อาจช่วยครอบคลุมได้เต็มจำนวน (ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์) แต่หากรถเสียจากปัญหาเครื่องยนต์ คุณอาจต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง

 

3. ประกันรถยนต์ชั้น 2 และ 3

    สำหรับประกันรถยนต์ชั้น 2 และ 3 การครอบคลุมค่าลากรถจะมีน้อยที่สุด หรือไม่มีเลยในบางกรณี ทำให้ค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้นอื่นๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการประกันแบบพื้นฐาน แต่หากคุณต้องการความคุ้มครองค่าลากรถ คุณอาจต้องซื้อบริการเสริม เช่น Roadside Assistance ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

ตัวอย่าง

หากรถของคุณเสียกลางทางและต้องการใช้บริการรถลาก ค่าใช้จ่าย 1,500 บาทจะต้องออกจากกระเป๋าของคุณเอง เว้นแต่ว่าคุณได้ซื้อบริการเสริมที่ครอบคลุมค่าลากรถไว้

ค่าลากรถ ประกันรถยนต์จ่ายไหม

เบิกค่าลากรถจากประกันต้องใช้อะไรบ้าง?

    การเบิกค่าลากรถจากประกันเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัย เพราะขั้นตอนและเอกสารที่ต้องใช้มีความสำคัญต่อการดำเนินการที่รวดเร็วและราบรื่น หากคุณทราบวิธีการและเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างเหมาะสม จะช่วยลดปัญหาและความล่าช้าได้

 

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับการเบิกค่าลากรถ

    การเคลมค่าลากรถจากประกันรถยนต์จำเป็นต้องเตรียมเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อให้บริษัทประกันสามารถตรวจสอบและอนุมัติค่าใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็ว โดยเอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่

 

  1. ใบเสร็จรับเงินค่าลากรถ

    • เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องเก็บไว้ทุกครั้งหลังใช้บริการรถลาก
    • ใบเสร็จนี้ต้องออกโดยบริษัทผู้ให้บริการรถลาก และระบุรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น วันที่ให้บริการ ระยะทาง หรือจุดหมายที่ลากรถไป
    • หากใบเสร็จไม่ชัดเจน อาจทำให้บริษัทประกันปฏิเสธการเบิกค่าใช้จ่าย
  2. สำเนากรมธรรม์ประกันรถยนต์

    • เพื่อยืนยันว่ากรมธรรม์ของคุณครอบคลุมค่าลากรถตามเงื่อนไขที่กำหนด
    • ในบางกรณี บริษัทประกันอาจขอสำเนากรมธรรม์ฉบับเต็มเพื่ออ้างอิงรายละเอียดเพิ่มเติม
  3. เอกสารแจ้งอุบัติเหตุ (หากเกี่ยวข้อง)

    • หากการลากรถเกิดจากอุบัติเหตุ เช่น การชนหรือรถเสียหายจนไม่สามารถขับได้ คุณต้องมีเอกสารแจ้งอุบัติเหตุ เช่น ใบรายงานเหตุการณ์จากตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
    • เอกสารนี้ช่วยยืนยันว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และตรงกับเงื่อนไขในกรมธรรม์
  4. บัตรประชาชนของผู้เอาประกัน

    • ใช้เพื่อยืนยันตัวตนของผู้เอาประกันว่าเป็นเจ้าของสิทธิ์ในการเบิกค่าลากรถ
    • หากผู้เอาประกันไม่ได้ดำเนินการเอง อาจต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเพิ่มเติม

 

ขั้นตอนการเบิกค่าลากรถ

    เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้บริการรถลาก คุณสามารถดำเนินการเบิกค่าลากรถจากประกันได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

 

  1. แจ้งบริษัทประกันทันทีเมื่อเกิดเหตุ

    • โทรติดต่อบริษัทประกันที่คุณทำกรมธรรม์ไว้ เพื่อแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเคลมค่าลากรถ
    • บริษัทประกันบางแห่งอาจแนะนำให้ใช้บริการจากเครือข่ายผู้ให้บริการรถลากที่ร่วมรายการ ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการเคลม
  2. เก็บใบเสร็จรับเงินค่าลากรถ

    • หลังจากใช้บริการรถลากเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมขอใบเสร็จรับเงินจากผู้ให้บริการ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าใบเสร็จมีข้อมูลครบถ้วน เช่น ชื่อบริษัทผู้ให้บริการ วันที่ให้บริการ ระยะทาง และจำนวนเงิน
  3. เตรียมเอกสารทั้งหมดให้ครบถ้วน

    • รวบรวมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด เช่น ใบเสร็จรับเงิน สำเนากรมธรรม์ และเอกสารแจ้งอุบัติเหตุ (ถ้ามี)
    • ตรวจสอบเอกสารอีกครั้งก่อนส่งให้บริษัทประกัน เพื่อป้องกันความล่าช้าในการพิจารณา
  4. ส่งเอกสารให้บริษัทประกัน

    • บริษัทประกันส่วนใหญ่มักมีช่องทางหลากหลายสำหรับการส่งเอกสาร เช่น ผ่านตัวแทนประกัน ช่องทางออนไลน์ หรือการยื่นเอกสารโดยตรงที่สำนักงาน
    • หากใช้ช่องทางออนไลน์ ควรอัปโหลดเอกสารในรูปแบบไฟล์ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันการปฏิเสธจากระบบ
  5. ติดตามผลการเคลม

    • หลังจากส่งเอกสารแล้ว ควรติดตามผลการเคลมจากบริษัทประกัน หากมีข้อสงสัยหรือเอกสารไม่ครบถ้วน บริษัทประกันจะแจ้งให้คุณทราบ

วิธีเลือกประกันรถยนต์ที่ครอบคลุมค่าลากรถ

วิธีเลือกประกันรถยนต์ที่ครอบคลุมค่าลากรถ

    ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ ควรตรวจสอบรายละเอียดของกรมธรรม์เพื่อดูว่ามีการครอบคลุมค่าลากรถหรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องของระยะทางและวงเงินสูงสุดที่สามารถเบิกได้ ตัวอย่างเช่น บางกรมธรรม์อาจระบุว่าให้บริการลากรถฟรีไม่จำกัดระยะทาง ขณะที่บางกรมธรรม์อาจจำกัดวงเงินไม่เกิน 2,000 บาท

 

    การเปรียบเทียบแผนประกันจากหลายบริษัทเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด คุณอาจพบว่า บริษัท A มีข้อเสนอที่ครอบคลุมค่าลากรถได้ครอบคลุมกว่า ในขณะที่บริษัท B อาจมีข้อเสนออื่นๆ ที่ดึงดูดใจมากกว่า

 

    ค่าลากรถเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทราบสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน โดยเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินบนท้องถนน การเลือกประกันรถยนต์ที่ครอบคลุมค่าลากรถจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ประกันชั้น 1 มักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในแง่ของการครอบคลุมค่าลากรถอย่างครบถ้วน แต่หากคุณเลือกใช้ประกันชั้น 2+ หรือ 3+ ควรตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ชัดเจน

 

    การเปรียบเทียบแผนประกันจากหลายบริษัทและตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์อย่างถี่ถ้วน จะช่วยให้คุณได้ประกันรถยนต์ที่ตอบโจทย์ในทุกสถานการณ์ และอย่าลืมเตรียมพร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉินด้วยการเลือกใช้บริการเสริมที่คุ้มค่า เพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้ทุกการเดินทาง และหากเพื่อนๆ กำลังมองหาประกันรถยนต์ที่คุ้มครองครอบคลุม แนะนำ เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ จากบริษัทชั้นนำได้ง่ายๆ ที่ TQM สนใจกรอกข้อมูลด้านล่างเพื่อนค้นหาประกันตรงใจ หรือปรึกษาเรื่องประกันภัย โทร Hotline 1737 ยินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

เช็คราคาแผนประกัน

กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ *

นามสกุล *

เบอร์โทรศัพท์มือถือ *

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง