การตรวจเช็ครถตามระยะ หรือ
การตรวจสภาพรถ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะรถยนต์ หากมีการใช้งานแล้ว ก็ย่อมมีวันเสื่อมสภาพเช่นกัน หากเราไม่ใส่ใจ อาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ ฉะนั้นยิ่งต้องได้รับการดูแลและบำรุงรักษาตลอดเวลา จึงจะมีอายุการใช้งานคุ้มค่าราคารถ แต่อะไหล่รถยนต์แต่ละชิ้นนั้น มีระยะเวลาการใช้งานที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องหมั่นเช็ครถตามระยะอยู่บ่อยๆ นับว่าเป็นเรื่องที่จุกจิกเลยก็ว่าได้ เพื่อไม่ให้เป็นการหลงลืม วันนี้พี่หมี
TQM จึงรวบรวมรายการที่ต้องตรวจเช็คของแต่ละระยะทาง ให้เพื่อนสามารถจดเซฟเก็บไว้ใช้เช็คลิสต์กันครับ
เช็คสภาพรถยนต์ตามระยะ กิโลที่เท่าไหร่บ้าง
การเช็คสภาพรถยนต์ แท้จริงก็คือ การบำรุงรักษารถยนต์อย่างนึง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน แบบแรกคือ การเช็คสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ และแบบที่ 2 คือ เปลี่ยนตามระยะทางหรือระยะไมล์
เช็คสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ
การตรวจเช็คสภาพรถแบบแรก จำเป็นต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่จำกัดระยะเวลาหรือระยะทาง เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นยามที่เราประมาท
-
ตรวจเช็ครถยนต์ เครื่องยนต์ เช็คสภาพ ก่อนออกเดินทาง เพื่อให้พร้อมใช้งานทุกครั้ง
-
การล้างทำความสะอาดตัวรถ กระจก และล้อหรือยางรถยนต์ ตามความจำเป็น เพื่อป้องกันคราบเศษหินดินทรายติดแน่นจนกินสีรถจนเกิดสนิม หรือเป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน
-
หมั่นเช็ครายการต่อไปนี้ สัปดาห์ละครั้ง
-
ระดับน้ำมันหล่อลื่น
-
เช็ควันหมดแบตเตอรี่
-
เช็คระดับน้ำหล่อเย็น
-
เช็คเครื่องปรับอากาศให้ทำงาน 3 – 4 นาที
-
ภายใน 2 สัปดาห์ ควรมีการเช็คความดันลมยาง
เช็คสภาพรถยนต์ตามระยะทาง
การเช็คสภาพรถโดยใช้ระยะทางในการใช้งานเป็นตัวกำหนดว่า ถึงเวลาตรวจเช็คสภาพแล้ว จะมีตั้งแต่ 1,500 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 1 เดือนหลังจากออกรถใหม่ จนไปรถเก่าที่ถูกใช้งานจนเลขไมล์หลักแสนเลยหละ ซึ่งในวันที่เราออกรถใหม่ ตัวแทนจำหน่ายรถแต่ละยี่ห้อ จะมีศูนย์ซ่อมบำรุงช่วยดูแลเรื่องรถของบริษัทตัวเองแล้วส่วนหนึ่ง และมีคู่มือพร้อมรายการบอกเตือนเช็คระยะในแต่ละครั้ง ว่ามีอะไรบ้าง หรืออาจมีป้ายที่จะเตือนเจ้าของรถว่า ถึงเวลาที่ต้องนำรถเข้าศูนย์เมื่อผ่านการใช้งานไปถึงกิโลเมตรที่เท่าไหร่ ฟังดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอถึงเวลาต้องเข้าศูนย์ตามระยะ หากศึกษาการเช็คสภาพรถดูดีๆ หละก็ อะไหล่บางตัวอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหรือตรวจสภาพก่อนถึงเวลากำหนด หรือบางตัวอาจยังไม่ถึงเวลา เพราะรถแต่ละคันมีสภาพการใช้งานที่แตกต่างกัน บางคันสายขับน้อยจอดนาน บางคันสายขับนานขยันลุย ก็ทำให้อะไหล่ถึงกำหนดที่ต้องเปลี่ยนต่างกัน และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ ข้อมูลที่ทางศูนย์กำหนดคือระยะมาตรฐานปกติทั่วไปเท่านั้น
-
เลขไมล์ที่ 1,500 กิโลเมตร หรืออายุรถ 1 เดือน ควรเช็ครถตามรายการต่อไปนี้
-
ความสะอาดของขั้วแบตเตอรี่
-
สภาพท่อน้ำหล่อเย็น
-
การสึกของยาง
-
ระดับน้ำมันเบรก
-
ฝาหม้อน้ำ
-
สายพานขับปั๊ม
-
สายพานแอร์
-
เลขไมล์ที่ 5,000 กิโลเมตร หรืออายุรถ 3 เดือน มีอุปกรณ์รถยนต์หลายอย่างที่ควรเช็ค ดังนี้
-
สายพานและระดับความตึง
-
ความสะอาดกรองอากาศ
-
น้ำมันคลัตช์
-
ระดับน้ำมันในปั๊ม
-
ใบปัดน้ำฝน
-
การทำงานของหัวฉีด
-
ความสะอาดของคอยล์ร้อน
-
รอยรั่วที่ข้อต่อ
-
ปริมาณน้ำยาทำความเย็น
-
เลขไมล์ที่ 5,000 - 10,000 กิโลเมตร หรือในระยะเวลา 6 เดือน ควรมีการเช็คของเหลวอย่าง น้ำมันหล่อลื่น เพื่อทำการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น ทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นต้องมีการเปลี่ยนกรองน้ำมันหล่อลื่นด้วย
-
เลขไมล์ที่ 10,000 กิโลเมตร หรืออายุรถครบ 6 เดือน ต้องระมัดระวังในเรื่องของความเสื่อม โดยเฉพาะของยางรถยนต์ จึงควรเช็คสภาพรถในเรื่องต่อไปนี้
-
ระยะหน้าทองขาวและเขี้ยวหัวเทียน
-
พื้นยางล้อหน้ากับล้อหลัง อาจสับเปลี่ยนตำแหน่งของยาง เพื่อทำให้ยางแต่ละเส้นสึกเสมอกัน
-
ความลึกของดอกยาง
-
ระยะฟรีของแป้นคลัตช์
-
ระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
-
สภาพเบรก
-
การหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ
-
เลขไมล์ที่ 20,000 กิโลเมตร เริ่มมีอุปกรณ์บางอย่างที่ต้องถึงเวลาเปลี่ยนใหม่แล้ว จึงมีรายการเช็คสภาพดังนี้
-
ระยะช่องว่างของวาล์ว
-
สายหัวเทียน
-
ฝาครอบจานจ่ายและหัวโรเตอร์
-
วาล์ว พีซีวี
-
ล้างหม้อน้ำ
-
ชุดทองขาวและคอนเดนเซอร์
-
น้ำหล่อเย็น
-
หัวเทียน
-
ตัวกรองอากาศ
-
เลขไมล์ที่ 40,000 กิโลเมตร หรืออายุรถประมาณ 2 ปี ยังคงมีมีอุปกรณ์สำคัญๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนดังนี้
-
สายพาน
-
น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
-
สายพานขับปั๊ม
-
สายพานแอร์
-
ใบปัดน้ำฝน
-
เลขไมล์ที่ 60,000 กิโลเมตร หรืออายุรถประมาณ 3 ปี มีสิ่งที่ควรเปลี่ยนและทำความสะอาดดังนี้
-
เปลี่ยนสายหัวเทียน
-
เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง
-
ทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์
-
เลขไมล์ที่ 100,000 กิโลเมตร สำหรับเครื่องเบนซิน จำเป็นต้องเช็คสายพานไทม์มิ่ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยการขับขี่ ควรเช็คสภาพความแข็ง มีรอยแตกหรือฉีกขาดชำรุดหรือไม่ หากพบให้รีบเปลี่ยนทันที
เพราะรถยนต์ ยิ่งใช้งานนาน ยิ่งเสื่อมสภาพได้ง่าย เราจึงควรหมั่นดูแลและซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอตามระยะการใช้งาน เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของรถ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม การขับรถยนต์ในแต่ละครั้ง แม้เครื่องยนต์จะพร้อมมากไหน เราก็ไม่ควรประมาท เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ พี่หมีขอแนะนำ ทำประกันรถยนต์ไว้อุ่นใจกว่า
สนใจเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ คลิกที่นี่เลย