เช็คราคาแผนประกัน
กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *
|
อ่านแล้ว 396 ครั้ง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น และยิ่งในช่วงฤดูฝนหรือช่วงเปลี่ยนฤดูจากร้อนเข้าสู่ฝน มักเกิดสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างมาก เช่น ร้อนจัดในช่วงเช้าและฝนตกหนักในช่วงบ่าย ทำให้หลายคนเรียกว่า "เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน" ซึ่งอาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ผลกระทบต่อสุขภาพกลับรุนแรงและต้องระวังอย่างมาก เพราะร่างกายของเราต้องทำงานหนักเพื่อปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้น ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลงและเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว วันนี้พี่หมี TQM อยากชวนทุกคนมารู้ทันโรคที่มักเกิดในช่วงอากาศเปลี่ยนบ่อยแบบนี้ พร้อมเคล็ดลับดูแลสุขภาพง่าย ๆ ที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันโรคและใช้ชีวิตอย่างอุ่นใจตลอดทั้งปี
ร่างกายของมนุษย์มีระบบในการรักษาสมดุลของอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่อยู่ที่ประมาณ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส แต่เมื่อสภาพอากาศภายนอกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เช่น จากร้อน 35 องศา ไปเป็นเย็น 22 องศาในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายจะต้องเร่งปรับระบบไหลเวียนโลหิต หลอดเลือดหดตัวหรือขยายตัวเพื่อระบายหรือรักษาความร้อน และระบบประสาทอัตโนมัติจะต้องเร่งปรับอัตราการหายใจและการเผาผลาญทันที การปรับตัวอย่างฉับพลันนี้ก่อให้เกิดความเครียดทางสรีรวิทยา (physiological stress) ซึ่งส่งผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันโดยตรง เช่น ทำให้ระดับเม็ดเลือดขาวลดลงชั่วคราว และทำให้ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคได้น้อยลงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุที่มีการเสื่อมของอวัยวะ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด เบาหวาน หรือโรคหัวใจ ซึ่งจะยิ่งมีความเสี่ยงที่จะป่วยจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างเฉียบพลันมากกว่าคนทั่วไป
ฝนตก ความชื้นในอากาศสูงขึ้น เป็นปัจจัยเอื้อให้จุลชีพต่าง ๆ ทั้งเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อราเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ความชื้นทำให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อชั้นดี เช่น เชื้อไวรัสที่ลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้นในอากาศชื้น เชื้อแบคทีเรียในอาหารสามารถเพิ่มจำนวนได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหากอาหารถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ขณะเดียวกัน เชื้อราก็เติบโตได้ดีบนเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว รองเท้า หรือแม้แต่เส้นผมและผิวหนังที่ยังเปียกหรืออับชื้น นอกจากนี้ น้ำฝนที่ปนเปื้อนจากพื้นผิวต่าง ๆ ยังอาจเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรคที่กระจายสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว การสัมผัสสิ่งของเปียกชื้นโดยไม่ล้างมือ หรือการดื่มน้ำไม่สะอาดก็ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งสิ้น
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม respiratory virus เช่น Influenza virus และ Rhinovirus ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ทางอากาศผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม หรือพูดคุย โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี เช่น รถโดยสารสาธารณะ ห้องเรียน ห้องประชุม หรือห้างสรรพสินค้า อากาศที่แปรปรวนบ่อยในช่วงเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนยังส่งผลให้ภูมิคุ้มกันร่างกายลดลง ทำให้ไวรัสจู่โจมร่างกายได้ง่ายขึ้น
อาการ: ไข้ต่ำถึงสูง น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
วิธีป้องกัน: สวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ รับประทานอาหารร้อน และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
เป็นภาวะที่ถุงลมในปอดเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา ทำให้มีของเหลวหรือหนองสะสมในถุงลม ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนลดลง ปอดบวมสามารถเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อโดยตรง หรือมักพบบ่อยว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดธรรมดาที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคเบาหวาน หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงและอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
อาการ: ไข้สูง หนาวสั่น หายใจเร็ว เหนื่อย เจ็บหน้าอก ไอมีเสมหะ
วิธีป้องกัน: รักษาไข้หวัดแต่เนิ่น ๆ และสังเกตอาการผิดปกติ หากมีอาการหอบเหนื่อยควรพบแพทย์ทันที
เกิดจากการที่เยื่อบุโพรงจมูกมีความไวต่อสิ่งแวดล้อมและปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ เช่น ฝุ่นละออง ขนสัตว์ ละอองเกสร เชื้อรา รวมไปถึงความชื้นและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น จากอากาศร้อนจัดสลับเย็นทันที ซึ่งจะกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงจมูกเกิดการอักเสบโดยไม่จำเป็นต้องติดเชื้อ ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้อากาศได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวหรือมีระบบภูมิคุ้มกันที่ไวต่อการกระตุ้น
อาการ: จามบ่อย น้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูก และตาแดงคัน
วิธีป้องกัน: หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ดูแลความสะอาดในบ้าน และใช้เครื่องฟอกอากาศในพื้นที่ปิด
เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่มียุงลาย โดยเฉพาะยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นพาหะนำโรค ซึ่งมีพฤติกรรมชอบกัดในเวลากลางวัน และวางไข่ในภาชนะที่มีน้ำขังสะอาด เช่น จานรองกระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่า ถังน้ำที่เปิดฝา หรือแม้แต่ฝาขวดน้ำที่มีน้ำขังเพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ได้ หลังฝนตกมักมีน้ำขังตามจุดต่าง ๆ ในบ้านและบริเวณรอบ ๆ ทำให้ยุงลายเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว หากได้รับเชื้อจากผู้ป่วยหนึ่งแล้วไปกัดคนอื่น ก็สามารถแพร่เชื้อไวรัสเดงกีไปยังบุคคลต่อไปได้
อาการ: ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ผื่นแดงตามตัว
วิธีป้องกัน: กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ใช้ยาทากันยุง และนอนในมุ้ง
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อ Leptospira ที่พบได้ในปัสสาวะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะหนู ซึ่งเป็นพาหะสำคัญ เมื่อฝนตกหนักและเกิดน้ำท่วม เชื้อโรคจากปัสสาวะสัตว์จะถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำและดิน ทำให้เกิดการปนเปื้อนเป็นบริเวณกว้าง เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทางแผลเปิด รอยถลอก หรือเยื่อเมือก เช่น ตา จมูก ปาก โดยเฉพาะหากเดินลุยน้ำท่วมโดยไม่สวมรองเท้าป้องกัน จึงทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น เขตน้ำท่วม เกษตรกร หรือผู้เก็บขยะ มีโอกาสป่วยสูง
อาการ: ไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่น่อง ตาแดง อาเจียน
วิธีป้องกัน: หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วม ใส่รองเท้าบูท และล้างร่างกายทันทีหลังสัมผัสน้ำสกปรก
อากาศชื้นหลังฝนตกทำให้ผิวหนังมีโอกาสสะสมความอับชื้น โดยเฉพาะบริเวณข้อพับ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งเป็นจุดที่มีการเสียดสีของผิวหนังและมีเหงื่อออกมาก เมื่อความชื้นสะสมอยู่เป็นเวลานานจะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน หรือเชื้อราจากสิ่งแวดล้อม หากไม่ได้รับการดูแลรักษา อาการอาจลุกลามหรือเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น การอักเสบของผิวหนังหรือการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
อาการ: ผื่นแดง คัน ลอกเป็นขุย หรือเป็นวงกลม
วิธีป้องกัน: อาบน้ำทันทีหลังเปียกฝน สวมเสื้อผ้าแห้ง ระบายอากาศดี
อุณหภูมิสูงร่วมกับความชื้นในอากาศหลังฝนตกเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในอาหารอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเชื้อที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย เช่น Salmonella, E. coli หรือ Staphylococcus aureus ซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงไว้ล่วงหน้าและวางทิ้งไว้นานโดยไม่ได้แช่เย็น อาหารที่ขายตามข้างทางหรือไม่ได้รับการปกปิดจากฝุ่นละอองก็ยิ่งเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคมากขึ้น การบริโภคอาหารที่ไม่สะอาดจึงเพิ่มโอกาสเกิดโรคอาหารเป็นพิษและอาการระบบทางเดินอาหารอย่างเฉียบพลัน
อาการ: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย
วิธีป้องกัน: ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงของหมักดองและน้ำแข็งไม่สะอาด
พกอุปกรณ์กันฝน เช่น ร่ม เสื้อกันฝน หมวก และรองเท้ากันลื่น เพื่อป้องกันการเปียกฝนและการลื่นล้มขณะเดินบนพื้นที่เปียกชื้น โดยเฉพาะในช่วงฝนตกหนักหรือบริเวณพื้นต่างระดับ
ดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้ว เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนจัดที่ร่างกายสูญเสียเหงื่อมาก ควรจิบน้ำบ่อย ๆ แม้ไม่รู้สึกกระหาย
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายฟื้นฟูและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการนอนดึกหรือนอนไม่เป็นเวลา
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ เพื่อป้องกันการรับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย
ทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะละกอ หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วย และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วเมื่อเจออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
ไม่ว่าเราจะดูแลสุขภาพดีแค่ไหน แต่อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยแบบเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน ก็สามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยได้โดยไม่ทันตั้งตัว พี่หมี TQM อยากชวนทุกคนวางแผนล่วงหน้าด้วยการมีประกันสุขภาพไว้เป็นเกราะป้องกันอีกชั้น ไม่ว่าจะเจ็บป่วยเล็กน้อยอย่างหวัด หรือเจอโรคฉับพลันที่ต้องนอนโรงพยาบาล ประกันสุขภาพก็ช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาได้อย่างมั่นใจ หากสนใจปรึกษาเรื่องประกันภัย โทร 1737 ได้เลยนะครับ พี่หมียินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ชื่อ *
นามสกุล *
เพศ *
วัน/เดือน/ปีเกิด *
เบอร์โทรศัพท์มือถือ *