ขับรถกระบะ ควรทำประกันภัยรถยนต์แบบไหน คุ้มค่าที่สุด ?
ปัจจุบันรถกระบะได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เนื่องจากมีสมรรถนะที่แข็งแรง อีกทั้งเหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทยที่มีฝนตกชุก และมักเกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องขับรถฝ่าน้ำท่วมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ รถกระบะคือยานพาหนะที่ตอบโจทย์มากที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถบรรทุกของได้ในปริมาณที่มากกว่ารถเก๋งอีกด้วย สำหรับใครที่กำลังวางแผนซื้อรถกระบะ แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อดีหรือไม่ เพื่อการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น พี่หมีมีข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีของรถกระบะมาบอกครับ
1. มีพื้นที่สำหรับบรรทุกของที่มากกว่ารถเก๋ง
2. มีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ช่วยประหยัดน้ำมัน
3. มีกำลังแรงม้าที่ดี มาพร้อมระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ
4. ห้องโดยสารมีขนาดกว้างขวาง โดยมีให้เลือกทั้งแบบตอนเดียว แบบสี่ประตู และแบบแค็ปเปิด
5. มีรูปแบบที่ยกสูงกว่ารถธรรมดา จึงทำให้สามารถมองเห็นทางเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน
6. มีระบบความปลอดภัยถุงลมนิรภัยรอบคัน
7. ช่วยเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก
8. มีระบบกระจายแสงเบรกคอมพิวเตอร์ พร้อมทั้งระบบควบคุมความเร็วทางลาดชัน ที่สามารถช่วยป้องกันการลื่นไหลได้ดี
(จากเรื่อง "ข้อดี ทำไมเราต้องเลือกรถกระบะ?" เว็บไซต์ Chobrod)
หากใครที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเดินทางท่องเที่ยวตามป่าเขา หรือมีของที่ต้องบรรทุกในจำนวนมากแทบทุกวัน รถกระบะถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่ควรพิจารณาครับ และอีกสิ่งหนึ่งที่คนมีรถยนต์ไม่ควรละเลยเป็นอันขาดคือ การเลือกทำประกันภัยรถยนต์ ที่จะช่วยให้การคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สำหรับรถกระบะสามารถทำประกันภัยรถยนต์ได้ทั้งแบบชั้น 1, 2+, 2, 3+ และ 3 ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และความพึงพอใจของเจ้าของรถยนต์ โดยประกันรถยนต์แต่ละประเภทให้ความคุ้มครองต่างกัน ดังนี้
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 : เป็นประเภทประกันที่ให้ความคุ้มครองได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น
- คุ้มครองเมื่อเกิดเหตุรถชนทั้งแบบมีคู่กรณี และไม่มีคู่กรณี
- คุ้มครองในกรณีผู้โดยสารเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร จากอุบัติเหตุทางรถยนต์
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทั้งคนขับ และผู้โดยสาร
- คุ้มครองเมื่อรถยนต์สูญหายจากการถูกโจรกรรม
- คุ้มครองในกรณีรถยนต์เกิดไหม้
- คุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุน้ำท่วม
- ให้การคุ้มครองเรื่องประกันตัวผู้ขับขี่ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิต
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 : พร้อมให้การคุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ รวมถึงคุ้มครองในกรณีที่รถยนต์ หรือทรัพย์สินสูญหาย อีกทั้งให้การคุ้มครองแก่ร่ายงกาย และความเสียหายจากไฟไหม้
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ : ให้ความคุ้มครองค่าซ่อมทั้งรถของผู้เอาประกัน และรถคู่กรณี อีกทั้งให้ความคุ้มครองในกรณีที่รถยนต์สูญหาย หรือเกิดเหตุไฟไหม้อีกด้วย ถือเป็นประกันภัยรถยนต์ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากให้ความคุ้มครองสูง ในราคาที่ไม่แพง
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 : ให้ความคุ้มครองต่อชีวิต และทรัพย์สินของคู่กรณีเท่านั้น
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ : ให้ความคุ้มครองต่อชีวิต และทรัพย์สินของคู่กรณี และคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุชนกับพาหนะทางบก
ขอบคุณข้อมูลจาก : Chobrod
READ MORE :