07/07/60

|

อ่านแล้ว 799 ครั้ง

รถจอดนานสตาร์ทไม่ติด

 

ทริคช่วยชีวิต 

รถสตาร์ทไม่ติดเพราะจอดนาน

 
      จอดรถทิ้งไว้นาน พอมาสตาร์ทเครื่องรถไม่ติด จำเป็นจะต้องใช้รถจริงๆ จะแก้ไขด้วยตัวเองได้ไหม ทำได้ยังไงบ้าง ต้องเรียกช่างเลยไหม พี่หมีบอกเลยครับว่าสามารถทำได้ แต่จะต้องมีเวลาในการทำและอาศัยการสังเกตสักนิดนึง ส่วนขั้นตอนนั้น ตามพี่หมีมาดูกันเล้ย
  
อย่าตกม้าตาย เช็คตำแหน่งเกียร์ก่อน 
     บางคนที่ใช้รถเกียร์ออโต้อาจจะมองข้ามสิ่งนี้ไป พอสตาร์ทไม่ติดบิดเงียบก็ไปนึกถึงส่วนอื่นๆ ของรถก่อน แต่กลายเป็นเข้าเกียร์ผิดเลยสตาร์ทไม่ติดแทน ทุกครั้งที่สตาร์ท จะต้องเข้าเกียร์ P หรือ N เท่านั้นนะครับจำไว้ให้ดี  แต่ถ้าใส่เกียร์ถูกแล้ว แต่สตาร์ทไม่ได้ แสดงว่าอาจเกิดความเสียหายกับส่วนอื่นๆ ของรถ พี่หมีจะเล่าต่อในข้อต่อๆ ไป
 
วินิจฉัยอาการจากเสียงตอนสตาร์ท     
    วิธีการที่จะทำให้รู้ว่าส่วนไหนของรถทำให้สตาร์ทไม่ติด สามารถแยกได้ด้วยเสียงทีได้ยินหลังจากบิดกุญแจสตาร์ท แบ่งเป็นสามแบบดังต่อไปนี้ครับ
 
 
1. เครื่องหมุนช้า แต่มีเสียงสตาร์ท
    เบื้องต้นลองสังเกตที่หน้าปัดและไฟหน้ารถ ว่าไฟติดอยู่ไหม ติดแล้วสว่างเต็มที่ไหม หากไฟหรี่ลงควรสันนิษฐานว่าแบตเตอรี่มีปัญหา เป็นเหตุให้สตาร์ทไม่ได้ครับ เพราะในการสตาร์ทหนึ่งครั้งจำเป็นต้องใช้กำลังไฟมาก แต่ไฟหน้าปัด ไฟหน้ารถ หรือแตร ใช้กำลังไฟน้อยจึงอาจยังใช้งานได้อยู่ ถ้าไม่ก็น่าจะคาดเดาได้ว่ากำลังไฟของรถน่าจะมีปัญหาซึ่งก็คือแบตเตอรรี่ของรถน่าจะเสื่อมนั่นเอง
    วิธีแก้ไข ทำได้โดยให้เปิดกระโปรงรถแล้วสังเกตในบริเวณแบตเตอรี่ว่าสายต่างๆต่อครบ ไม่หลุดหรือหลวม รวมถึงขั้วแบตเตอรี่ซึ่งเป็นปัญหาหลักๆ ว่าแน่นดีหรือไม่ เพราะหากหลวมกำลังในการส่งไฟไม่ครบ 12 โวลต์ ไฟจะเดินได้ไม่เต็มที่ ให้ขันขั้วแบตให้แน่นด้วยประแจเล็ก จากนั้นลองไปสตาร์ทรถใหม่ หากรอบนี้ยังไม่ติดหรือกรณีคือ สตาร์ทแล้วไฟหน้าปัดที่ติดอยู่ดับวูบไปเลย แปลว่ากำลังไฟในแบตไม่พอ แก้ให้หายขาดได้โดยการเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือหากรีบใช้จริงๆ คือวิธีพ่วงแบตเตอรี่จากคันอื่นครับ
      แต่ถ้าทั้งขยับขั้นทั้งพ่วงแบตยังไม่หาย แสดงว่าไดชาร์ตมีปัญหา ต้องเรียกช่างให้มาช่วย หากไฟหน้าปัดรถยนต์ยังติดอยู่สามารถสังเกตได้ง่ายๆว่า มีไฟตรงสัญลักษณ์แบตเตอรี่ขึ้นหรือไม่ หากแน่ใจว่าแบตยังไม่หมด แต่ดันขึ้นสัญญาณแบบนี้ แสดงว่าไดชาร์ตไม่สามารถส่งกำลังไฟได้นั่นเอง 
    
 
ขับรถ
2. เครื่องหมุนเร็ว แต่ไม่มีเสียงสตาร์ท
    อันนี้สามารถแยกได้ง่ายกว่าสองแบบแรก เครื่องยนต์หมุนแล้วเพียงแต่ไม่มีเสียงสตาร์ทเมื่อหยุดบิดกุญแจเครื่องก็หยุด แสดงว่าปัญหาไม่ใช่ระบบแบตเตอรี่แต่เป็นเครื่องยนต์แทน ไม่สามารถแก้ไขเองได้ ต้องเรียกช่างอย่างเดียวครับ
 
3. เครื่องเงียบ แต่มีเสียงแชะๆ
   กรณีนี้ให้ดูหน้าปัดก่อนเลยครับ ถ้าไฟติดดี สตาร์ทไปเครื่องเงียบแต่มีเสียงแชะๆ แสดงว่าส่วนที่มีปัญหาน่าจะเป็นมอเตอร์รถยนต์คือกำลังไฟพอมี แต่มอเตอร์สตาร์ททำงานไม่สมบูรณ์ อาจเกิดจาก ฟิวส์มอเตอร์สตาร์ทขาด, สายไฟที่ต่อไปยังสตาร์ทมอเตอร์อาจขาดหรือหลุดออกจากจุดต่อ, แปรงถ่านที่อยู่ในมอเตอร์สตาร์ทหมดแล้ว ไม่สามารถแก้ไขเองได้ จำเป็นจะต้องเรียกช่างเหมือนกันครับ 
 
 
 

ไมล์กิโล

 
 
4. เครื่องเงียบ ไฟไม่ติดเลย
   แบบนี้แยกง่ายครับ ขึ้นรถไปบิดสตาร์ทไฟหน้ารถ ไฟหน้าปัดไม่ติด เสียงเครื่องเงียบ เป็นไปได้ว่าระบบไฟจะมีปัญหา เพราะรถที่จอดไว้นาน มีโอกาสสูงที่สายไฟจะรั่ว ถูกหนูกัดขาด กรณีนี้ถึงส่วนอื่นไม่มีปัญหาก็ สตาร์ทไม่ติดอยู่ดี ควรเรียกช่างมาดูครับ
    ถ้าปัญหาเกิดที่แบต คุณก็จะสามารถแก้ไขเองได้บ้าง เช่นกรณีที่แบตเตอรี่เสีย และแม้บางอาการจะไม่สามารถแก้ไขเองได้ แต่อย่างน้อยคุณจะรู้ว่าส่วนไหนที่เสีย พอบอกอาการกับช่างได้และรู้ว่าจำเป็นต้องเรียกช่างเลยหรือไม่ 
    นอกจากนี้การจอดรถทิ้งเอาไว้นานๆ ยังจะนำมาสู่อีกหลายๆปัญหา ควรมีประกันที่เหมาะสมเอาไว้ดูแล ประกันชั้น 3   ถ้าอยากรู้รายละเอียดอื่นๆโทรถามพี่หมีได้ที่ Hotline 1737 ตลอด 24 ชั่วโมงคร้าบ
 
ขอบคุณข้อมูลจาก
 
 
 
 

เช็คราคาแผนประกัน

กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาแผนประกัน

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ *

นามสกุล *

เบอร์โทรศัพท์มือถือ *

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด123 ถนนลาดปลาเค้า แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230

ใบอนุญาตจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
เลขที่0105540084143

ใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาศภัย
เลขที่ว00019/2546

โทรศัพท์
โทรสาร
เวลาทำการ
จันทร์ - เสาร์ 8.30 - 17.30 น.
อีเมล