เชื่อว่าหนึ่งปัญหาที่หลายๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับรถของตัวเองคือ
ปัญหาแบตเตอรี่รถหมด หรือ เสื่อมสภาพ จนทำให้ไม่สามารถสตาร์ทรถได้ ทั้งเซงทั้งเสียเวลา หรืออาจถึงขั้นต้องเสียค่าซ่อมกันเลยทีเดียว ซึ่งปัญหานี้สามารถป้องกันได้ ถ้าเราหมั่นดูแลเอาใจใส่และสังเกตุอาการของรถยนต์เป็นประจำ และวันนี้พี่หมี
TQM จึง
รวมวิธีสังเกตแบตเตอรี่รถยนต์ใกล้หมดหรือเสื่อมสภาพนั้นเป็นอย่างไร มาดูกันครับ
แบตเตอรี่รถยนต์ มีหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถยนต์ เช่น มอเตอร์สตาร์ทเครื่องยนต์ ถ้าไม่มีไฟถูกจ่ายไปยังมอเตอร์ เครื่องยนต์จะไม่สามารถทำงานได้ นอกจากนี้แบตเตอรี่ยังมีหน้าที่ให้พลังงานกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ระบบไฟ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้ารถ ด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้านหลัง ระบบไฟเตือนบนหน้าปัดรถยนต์ วิทยุ เครื่องเล่นเสียง รวมถึงแตร ล้วนแต่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ทั้งนั้น
แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
-
เก็บไฟไม่อยู่หรือหมดอายุการใช้งาน
-
ไดชาร์จทำงานผิดปกติ ทำให้ประจุไฟไหลผ่านเข้าไปที่ตัวแบตเตอรี่ได้น้อยลง ซึ่งไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
วิธีสังเกต แบตเตอรี่รถยนต์ใกล้หมด
-
มีอาการสตาร์ทเครื่องยนต์ติดยาก ไม่มีแรงสตาร์ท โดยเฉพาะในช่วงเช้า หรือรถจอดทิ้งไว้หลายวัน แต่ใช่ว่าจะสตาร์ทไม่ได้ เพียงแต่เวลาสตาร์ทเครื่องจะมีเสียงผิดปกติ เช่น ดังอืดๆๆๆ เหมือนหายใจไม่ออกก่อนเครื่องยนต์จะติดเป็นปกติ ฉะนั้นเมื่อเจอปัญหาเครื่องยนต์สตาร์ทติดยากกว่าปกติ แสดงว่าอายุของแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ ไม่สามารถเก็บประจุไฟได้ และทำให้การจ่ายกระแสไฟไปยังไดสตาร์ทไม่เพียงพอ
แต่สาเหตุอาจไม่ใช่เพราะแบตเตอรี่เสมอไป บางทีอาจเป็นเพราะไดชาร์จ ให้ลองทำตามนี้ พ่วงชาร์จแบตเตอรี่เพื่อสตาร์ทรถยนต์ ลองขับรถใช้งานตามปกติ ดับเครื่องยนต์สักพัก กลับมาสตาร์ทอีกครั้ง ถ้าสตาร์ทติดแสดงว่าไดชาร์จไม่มีปัญหา จากนั้นลองจอดรถทิ้งไว้ข้าามคืน แล้วกลับมาสตาร์ทอีกครั้ง ถ้าสตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติดเลย คราวนี้คอนเฟิร์มได้เลยว่า แบตเตอรี่หมดอายุหรือเสื่อมสภาพ เก็บไฟไม่อยู่แล้ว
-
ไฟหน้ารถยนต์สว่างน้อยลง สำหรับคนที่ขับรถตอนกลางวันบ่อยๆ อาจไม่ได้สังเกต แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืนจะสังเกตได้ง่ายกว่า แนะนำให้เช็คความสว่างเวลาขับรถเข้าลานจอด หรือในที่ที่มีแสงน้อย ลองเปิดไฟหน้าดู ถ้าไฟหน้าสว่างน้อยกว่าปกติ อาจเป็นเพราะแบตเตอรี่กำลังใกล้หมด แต่ก็อย่าลืมดูเรื่องสิ่งสกปรกบนโคมไฟ เพราะมันก็มีส่วนทำให้ไฟสว่างน้อยลงได้เช่นกัน
-
กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง ให้ลองเปิด-ปิดกระจกดู หากรู้สึกว่าตอนปิดกระจกมันหนืดๆ ปิดไม่ค่อยขึ้น หรือปิดเหมือนไม่มีกำลัง แสดงว่าแบตเตอรี่รถยนต์กำลังมีปัญหา
-
ระบบไฟทำงานผิดปกติ ให้ลองสังเกตไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ไฟหน้าปัด และไฟตามจุดต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยวและไฟท้าย ถ้ารู้สึกว่าสว่างน้อยลงหรือมีอาการติดๆ ดับๆ ก็แสดงว่ากำลังไฟจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ
-
ดูอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 2 ปี ให้สังเกตบริเวณฉลาก หรือสัญลักษณ์ที่ทางร้านแบตฯ ได้ทำการระบุไว้บนตัวแบตเตอรี่หลังจากวันที่ติดตั้งหรือเริ่มใช้งานแบตเตอรี่ หากเราใช้งานแบตเตอรี่ไปประมาณ 1 ปีครึ่ง ให้เริ่มสังเกตุอาการและพิจารณาไว้บ้างแล้วว่าแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณมีโอกาสเสื่อสภาพ และถ้ายิ่งรถคันไหนใช้งานหนัก ขับบ่อย ก็มีโอกาสแบตเตอรี่หมดก่อน 2 ปี
สัญลักษณ์แบตรถหมดบนหน้าปัด คืออะไร
สัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่สีแดงที่อาจปรากฏขึ้นบนหน้าปัด หลายคนเข้าใจผิดว่ามีความหมายว่า แบตเตอรี่หมด แต่แท้จริงแล้ว มันหมายถึง ไดชาร์จกำลังมีปัญหา ไม่สามารถสร้างกระแสไฟเพื่อไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้ ทำให้ปริมาณไฟในแบตเตอรี่ค่อยๆ ลดลง และในที่สุดรถก็ไม่สามารถสตาร์ทติดได้
แบตเตอรี่รถยนต์หมด ชาร์จได้ไหม
เมื่อ
แบตเตอรี่รถยนต์หมด ไม่ต้องตกใจ
คุณสามารถพ่วงแบตเตอรี่จากรถยนต์คันอื่นเพื่อ Jump-start ได้ และขับต่อหรือสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ขั้นต่ำ 20 นาที เพื่อให้ไฟแบตเตอรี่ถูกชาร์จไฟกลับ ฉะนั้นรถยนต์ทุกคันควรมีอุปกรณ์เซฟตี้ติดไว้ในรถ อย่าง สายพ่วงแบตเตอรี่ อย่างน้อยเวลาแบตเตอรี่รถยนต์หมดกะทันหัน เราสามารถโบกเรียกรถคันอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือในการพ่วงแบต
ดูวิธีการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
และทั้งหมดนี่ก็คือวิธีการเช็ค
แบตเตอรี่รถยนต์ง่ายๆ ว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือเปล่า หากรถของเพื่อนๆ มีอาการดังกล่าวที่หมีพูดมาด้านต้น ก็แสดงได้เลยว่าแบตเตอรี่รถนั้นใกล้หมดแล้ว ควรรีบนำรถไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ทันที เพื่อการใช้งานที่สะดวกของรถคุณ ดูแลแบตเตอรี่รถแล้ว อย่าลืมที่จะมี
ประกันรถยนต์ ไว้ดูแลรถคุณ
ที่ TQM สามารถให้คุณ เช็คราคาประกันรถยนต์ ได้ด้วยตัวเอง เพื่อได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าตรงใจคุณ คลิกเลยที่นี่ หรือโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1737 ตลอด 24 ชั่วโมงครับ