ทุกช่วงเทศกาล ไม่ว่าจะขึ้นปีใหม่ สงกรานต์ หรือแม้แต่วันหยุดยาว หลายคนชอบเดินทางด้วยรถยนต์เพื่อไปเที่ยว ไปหาครอบครัว แต่ไม่ว่าจะเดินทางในระยะใกล้หรือไกล ความพร้อมของรถยนต์ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารถเสียระหว่างทาง วันนี้พี่หมี
TQM จึงมี
8 จุด เช็กสภาพรถก่อนเดินทางไกล มาฝาก เพื่อความปลอดภัยและราบรื่นในการเดินทางกันครับ
1. ของเหลวในเครื่องยนต์
ของเหลวภายในรถยนต์เป็นสิ่งที่หลายคนมักมองข้าม เพราะอาจจะไม่รู้วิธีเช็กหรือลืมเช็กเพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในห้องเครื่อง แต่สำหรับการเดินทางไกล ของเหลวคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ควรเช็กก่อนเดินทาง โดยมี 3 ของเหลวดังนี้
-
น้ำมันเครื่อง เช็กได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่อง ควรอยู่ในระดับ Max และสีน้ำมันเครื่องไม่ควรข้นดำจนเกินไป ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจะเป็นไปตามระยะทางหรือเวลาที่กำหนด
-
น้ำมันเกียร์ เช็กหลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นเหยียบเบรก ดึงเบรกมือ และเลื่อนเกียร์ P ไป L และ L กลับไป P อย่างช้าๆ แล้วตรวจสอบก้านวัด ถ้าน้ำมันเกียร์อยู่ในระดับปกติ ก็ถือผ่าน
-
น้ำมันเบรก ระดับน้ำมันเบรกจะอยู่ระหว่างคำว่า Max และ Min ถ้าน้ำมันตกไปอยู่ในระดับ Min อาจมีการรั่วของน้ำมันเบรก หรือผ้าเบรกสึหรอ ควรนำรถให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบ
-
น้ำในหม้อน้ำ เป็นตัวระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เสมือนเป็นหัวใจหลักของรถยนต์ที่ต้องเดินทางไกล ซึ่งระดับน้ำในหม้อน้ำจะต้องอยู่ระดับที่กำหนด ลักษณะน้ำไม่เป็นสนิม หากน้ำลดลงจนผิดปกติ ให้รีบน้ำรถเข้าตรวจสอบกับทางอู่รถเพื่อหารอยรั่ว
2. แบตเตอรี่
ถ้าแบตเสื่อม เราจะสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ได้ ฉะนั้น
ตรวจเช็กวันหมดอายุแบตเตอรี่ก่อนเดินทางไกล ซึ่งเฉลี่ยแล้วแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป จนมากที่สุดได้ถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับ
ชนิดของแบตเตอรี่รถยนต์และหลายปัจจัยที่ทำให้แบตทำงานหนัก เช่น สภาพอากาศหนาว
ไดชาร์จผิดปกติ ขั้วต่อแบตไม่ดี และการเปิดใช้งานไฟทิ้งไว้ นอกจากนี้ยังควรหมั่นทำความสะอาดคราบขี้เกลือที่ขั้วแบต และเช็กระดับน้ำกลั่นควรอยู่ในระดับที่กำหนด
3. ล้อและยางรถยนต์
ยางระเบิดคงไม่ใครอยากให้เกิด หากเดินทางไกล ยางรถยนต์เกิดการเสียดสีเป็นเวลานาน สภาพยางจึงต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตกลาย และที่สำคัญมีดอกยางที่เพียงพอ ล้อยางควรอยู่ในสภาพสมบูรณ์ รวมถึงลมยางก็ควรเติมตามที่คู่มือประจำรถกำหนดไว้ ส่วนล้ออย่าลืมเช็กน็อตล้อว่าขันแน่นหรือเปล่า
4. ที่ปัดน้ำฝน
หลายคนอาจละเลย เพราะฝนคงไม่ตกและคงไม่ได้เปิดใช้ที่ปัดน้ำฝน แต่จริงๆ แล้วที่ปัดน้ำฝนสามารถปัดไล่ฝ้า หรือสิ่งแปลกปลอม เช่น เศษใบไม้ เศษฝุ่น ต่างๆ ที่ปลิวมาได้ ฉะนั้นควร
เช็กใบปัดน้ำฝนว่ายังช้งานได้ปกติหรือไม่ ถ้าลองปัดแล้ว มีเสียง หรือกระจกรถยังไม่สะอาด แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ และอย่าลืมเช็กระบบฉีดล้างกระจกด้วย ถือเป็นของคู่กัน
5. ระบบไฟส่องสว่างทั้งหมด
ระบบไฟทั้งในและนอกรถ ควรใช้งานได้ปกติทุกดวง ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก ไฟเลี้ยว ไฟฉุกเฉิน และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร ยิ่งถ้าใครเดินทางไกลช่วงเวลากลางคืน ไฟส่องสว่างเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก
6. แผงควบคุมบนหน้าปัดและแตรรถยนต์
สัญญาณไฟบนคอนโซลหน้าปัดรถยนต์ เป็นไฟที่คอยแจ้งเตือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ หากมีไฟผิดปกติแสดงขึ้น ควรนำรถยนต์เข้าตรวจเช็กสภาพกับช่างผู้ชำนาญ รวมถึงเสียงแตรต้องใช้งานได้ปกติ
7. ชุดเครื่องมือประจำรถ
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น รถเสีย ยางรั่ว แบตหมดกลางทาง สิ่งสำคัญที่ควรมีติดรถไว้คือ เครื่องมือประจำรถ ได้แก่ ล้อ-ยางอะไหล่ แม่แรง ชุดเครื่องมือในการถอดล้อ ที่เติมลมฉุกเฉิน
สายพ่วงแบต สายลากรถ ไฟฉาย ป้ายจอดรถฉุกเฉิน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้เพื่อนๆ ควรศึกษาวิธีการใช้ไว้ด้วย เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น อย่างน้อยก็สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ครับ
8. ประกันรถยนต์
รถยนต์ทุกคันจะมี
พรบ. ติดรถเพื่อคุ้มครองบุคคล แต่ไม่ครอบคลุมถึงรถยนต์ เราจึงควรมี
ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่คุ้มครองครอบคลุมทั้งคนและรถยนต์ จากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น รถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ยิ่งต้องเดินทางไกล ใช้เวลาในรถยนต์เป็นเวลานาน อุบัติเหตุอาจเกิดได้เสมอ ฉะนั้น ให้
ประกันรถยนต์ ช่วยดูแลจัดการค่าซ่อมแทนคุณ อย่างน้อยอุ่นใจมีประกันไว้ดีกว่า ใครที่ประกันใกล้หมดและกำลังมองหาประกันสุดคุ้ม แนะนำเช็กราคาประกัน กับ
TQM พร้อมรับบริการผ่อน 0%
สนใจเช็กราคาประกันคลิกที่นี่เลย
ทั้งหมดนี้ก็เป็น 8 จุดเช็กสภาพรถก่อนเดินทางไกล หากใครมีแพลนจะเดินทางอย่าลืมเช็กรถล่วงหน้า เพราะถ้าเกิดพบรายการปัญหาจะได้นำรถเข้าพบช่างให้ทันก่อนออกเดินทางนะครับ